วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเกาหลี ที่อยากให้ทุกคนรู้ ..








แน่นอนว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เกาหลี ทุกคนล้วนให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเกาหลี

ไม่ว่าจะเป็น ดาราเกาหลี ศิลปินนักร้องเกาหลี ซีรีย์เกาหลีเรื่องดัง หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลี แต่จะมีสักกี่คนกันนะ ที่รู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าแค่เปลือกนอกว่ายังมีเรื่องน่ารู้ที่เชื่อว่าอีกหลายๆ คนยังไม่รู้


- ชุดประจำชาติของเกาหลีเรียกว่าชุด ฮันบก คนเกาหลีมักจะใส่ชุดฮันบกในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น งานแต่งงาน, วันซอลนัล (ขึ้นปีใหม่) , วันชูซก (วันขอบคุณพระเจ้า) เป็นต้น

ภาษาเกาหลี มีตัวอักษรเกาหลีที่เรียกว่า ฮันกึล ประกอบด้วยสระ 10 ตัว และพยัญชนะ 14 ตัว

- การทักทายและการกล่าวคำขอบคุณเป็นเรื่องที่คนเกาหลีให้ความสำคัญมาก เวลากล่าวคำทักทายและขอบคุณคนเกาหลีมักก้มหัวคำนับเสมอ การโค้งหัวต่ำระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับความอาวุโสของอีกฝ่าย



- ที่ประเทศเกาหลีจะไม่ค่อยเห็นว่ามีสุนัขเดินเพ่นพ่านตามถนนเลย เพราะค่าเลี้ยงดูสุนัขที่เกาหลีแพงมากๆ และถ้าจูงสุนัขไปเดินเล่นตามถนนที่เกาหลี ถ้าสุนัขอึออกมา เราต้องเก็บทำความสะอาดเอง ไม่งั้นต้องเสียค่าปรับ


- ตามร้านมินิมาร์ทที่เกาหลี เวลาไปซื้อของเขาจะไม่ใส่ถุงให้ ทั้งนี้เพื่อช่วยรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก หากต้องการถุง เขาจะคิดเงินเพิ่ม 100 วอน หรือประมาณ 4 บาทไทย

- ถ้าไปพักโรงแรมที่ประเทศเกาหลีในช่วงฤดูหนาว เขาจะไม่เปิดแอร์ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน อีกอย่างอากาศมันเย็นสบายอยู่แล้ว

- ที่ประเทศเกาหลีจะไม่ค่อยเห็นตำรวจยืนอยู่ตามสี่แยกไฟแดงเหมือนบ้านเรา เพราะเขามีระบบตรวจจับคนที่ขับรถผิดกฎจราจร และทางตำรวจจะส่งหลักฐานมาถึงบ้านแจ้งเรื่อง ความเร็ว, เวลา, ทะเบียนรถ และต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักเอง

- คนเกาหลีจะไม่ทิ้งขยะบนท้องถนนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกปรับแพงมากๆ ประมาณ 1,200 บาทไทย คนเกาหลีจึงนิยมเก็บขยะกลับไปทิ้งที่บ้านของตัวเอง

- สาเหตุที่ชาวต่างชาติเรียกประเทศเกาหลีว่า " โคเรีย" นั้นก็มาจากชื่ออาจักโคเรียว จากนั้นเสียงก็เพี้ยนมาเป็น โคเรีย

- คนเกาหลีจะเรียกคนทั่วๆ ไปตามเพศ (เขาจะไม่เรียก พี่คนนั้น ป้าคนนี้เหมือนบ้านเรา) แต่จะเรียกตามเพศ ผู้ชาย เรียกว่า " อาจอชี" ผู้หญิงแต่งงานแล้วเรียกว่า " อาจุมม่า" ผู้หญิงยังไม่แต่งงานเรียกว่า " อาคะชี"

- บ้านของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะวางผังบ้านเป็นรูปตัว L หรือตัว U และมีการฝังท่อน้ำไว้ใต้บ้าน สำหรับหน้าหนาวตามพื้นบ้านก็จะอุ่น เหมือนเปิดฮีตเตอร์แบบนั้นเลย

- เมื่อผู้หญิงกับผู้ชายเกาหลีแต่งงานกันแล้ว หลังแต่งงานฝ่ายชายต้องไปอาศัยอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง 2-3 วัน หลังจากนั้นค่อยย้ายไปบ้านฝ่ายชาย

- Hunkuj University of Foreign Studies เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เปิดสอนวิชาภาษาไทยในเกาหลี

- ที่ประเทศเกาหลีไม่มีสะพานลอยให้ข้ามถนน (ถ้ามีก็น้อยมาก) แต่เขาจะสร้างอุโมงค์ลอดใต้ถนน และในอุโมงค์ก็จะเป็นเหมือนตลาดย่อมๆ มีของขายมากมาย อาทิ กระเป๋า เสื้อผ้า ของกระจุกกระจิกต่างๆ ฯลฯ

- รถยนต์ในประเทศเกาหลีร้อยละ 99 เป็นรถที่ผลิตในประเทศเขาเอง เช่น ฮุนได, แดวู, เกีย เป็นต้น

- ประเทศเกาหลีผลิตรถยนต์ได้มากเป็นอันดับที่ 6 ของโลกเลยนะ!

- กีฬาประจำชาติของคนเกาหลีคือ "ซีรึม" หรือมวยปล้ำแบบเกาหลีนั่นเอง

- เมืองหลวงของประเทศเกาหลี คือกรุงโซล และเมืองที่ใหญ่อันดับสองรองจากโซลคือเมืองพูซาน

- ที่ประเทศเกาหลีเขาไม่นิยมให้ทิปตามร้านค้า ร้านอาหาร เพราะสินค้าและบริการต่างๆ จะบวกภาษีรวมไว้แล้ว 10 % นั่นเอง


- ประเทศเกาหลีเปิดใช้รถไฟฟ้าใต้ดินครั้งแรกในปี 1974 รวมเวลาถึงตอนนี้ก็เปิดมาแล้ว 33 ปี


- คู่บ่าวสาวของเกาหลี เมื่อแต่งงานกันแล้ว นิยมไปฮันนีมูนกันที่เกาะเชจู ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมากในเกาหลี

- KBS เป็นสถานีโทรทัศน์ครบวงจรแห่งแรกของเกาหลี

- หนังสือพิมพ์ที่คนเกาหลีนิยมอ่านมากที่สุดคือ " ดองนิบ ซินมุม" หรือหนังสือพิมพ์อิสระ


เพลง อารีรัง เป็นเพลงเก่าแก่ของเกาหลีที่ดังมากๆ ว่ากันว่าเป็นเพลงที่แสดงถึงความรักระหว่างทหารเกาหลีกับสาวไทย



- แท็กซี่ที่เกาหลีจะมี 2 แบบ แบบแรกจะเป็นราคาปกติและตอนดึก จะเปิดรับผู้โดยสารที่ไปทางเดียวกันร่วมไปด้วย แต่ถ้าเป้นแท็กซี่แบบสีดำ จะแพงกว่าแต่ไม่รับผู้โดยสารอื่น และที่นั่นมีกฎหมายให้นั่งได้แค่ 4 คนเท่านั้น

- คนเกาหลีนิยมฝังศพคนตาย โดยหันหัวศพไปทางทิศเหนือ ไม่เหมือนประเทศไทยที่หันหัวศพไปทางทิศตะวันตก


ผู้ชายเกาหลีทุกคนต้องไปเป็นทหารเป็นเวลา 2 ปีเต็ม โดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อมีอายุครบ 20 ปี

- ชาวเกาหลีจะมีชื่อสกุลจำกัดอยู่ไม่กี่กลุ่มชื่อ เช่น คิม 21% , ยี - ลี - รี 14% และ 8% มีชื่อสกุลว่า ปาร์ค นอกนั้นก็จะแตกออกไปเป็น ชอย, แช, เจิง, ชุง, ชาง, ฮัน, ลิม เป็นต้น ชื่อเต็มของคนเกาหลีประกอบด้วยชื่อสกุล 1 พยางค์ และชื่อหน้า 2 พยางค์

- เมื่อต้องการกวักมือเรียกคนอื่นนั้น ให้คว่ำมือลงแล้วค่อยกวักเรียกโดยให้นิ้วชิดกัน การกวักมือเรียกโดยหงายฝ่ามือขึ้นคนเกาหลีถือว่าไม่สุภาพ ถ้าใช้นิ้วกวักเรียก จะเหมือนเป็นการเรียกสุนัข ห้ามทำแบบนี้เด็ดขาดที่เกาหลี


- ดอกไม้ประจำชาติเกาหลีคือ ดอกมูกุงฮวา หรือ โรส ออฟ ชารอน ซึ่งจะบานสะพรั่งทั่วประเทศระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม

- ธงประจำชาติเกาหลีเรียกว่า แทกึกกี้ สัญลักษณ์สี่อย่างที่อยู่แต่ละมุม คือ สวรรค์, โลก, ไฟ และน้ำ

มีอยู่ 3 อย่างที่เรามักจะไม่เห็นตามท้องถนนของประเทศเกาหลีคือ 1. ตำรวจ 2. ถังขยะ 3. สุนัข

- เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของภูมิประเทศเกาหลีเป็นภูเขาล้อมรอบ

- เวลาดื่มเหล้าโชจู ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดต้องเป็นคนรินเหล้าให้คนที่มีอายุมากกว่าเสมอ

- กิจกรรมหลังเลิกงานที่ฮิตที่สุดในกลุ่มของผู้ชายเกาหลีคือ ดื่มเหล้าและไปต่อกันที่คาราโอเกะ


ที่นั่นจะมีโรงอาบน้ำเรียกว่าจิมจิบัง ซึ่งสามารถไปนอนค้างได้ด้วย

- ประเทศเกาหลีมีขนาดเล็กกว่าประเทศไทย 5 เท่า





ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/12018.html

ซิทคอม เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร


เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร เป็นละครซิทคอม ของค่ายภาพยนตร์จีทีเอช (GTH) และ aqua media 360 ออกอากาศทุกวันจันทร์ เวลา 22.25 น. - 23.20 น. ทางททบ.5 เป็นเนื้อคู่ประตูถัดไป ฤดูกาลที่3 เป็นเรื่องราววุ่นๆที่ยุ่งกว่าเดิมของชาวคอนโดสวัสดีทวีสุข กลับมาคราวนี้พร้อมด้วยสมาชิกใหม่ที่จะมาสร้างความฮา และความป่วนให้อลเวงครื้นเครงกว่าเดิม เริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรก 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ประเภท ซิทคอม (Situation Comedy)
ผู้สร้าง จีทีเอช (GTH)
ผู้ผลิต จีทีเอช (GTH)
แสดง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ พอลล่า เทเลอร์ ธนากร ชินกูล ปัทมาภรณ์ ละอองมณี ปาณิสรา พิมพ์ปรุ นิมิตร ลักษมีพงศ์
เอก มณีประเสริฐสิทธิ์ เอ๋ มณีประเสริฐสิทธิ์ พงศธร จงวิลาส ปวีณ์นุช แพ่งนคร

ตอนที่19 จากตอนที่แล้วเมื่อเพลงที่โจแต่งกลายเป็นเพลงดังระเบิดทางต้นสังกัดจึงชวนโจไปออกอัลบั้ม แต่ใครจะคิดจากนายโจสุดเซอร์ กลายเป็น โจ 4AM boy bands แนวเกาหลีสุดฮิปแล้วจะไปรอดไหมเนี่ย ติดตามกันได้ ออกอากาศวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม เวลา 22.25 ทาง ททบ.5 ในตอน จี๊ จี๊ จี๊ จี๊ เบ่ บี่ เบ่ บี่
















อาหารชีวจิต
















YOU ARE WHAT YOU EAT
คุณแน่ใจเหรอว่ารู้จัก “อาหาร” ดีแล้ว?
ใช่ คุณกินอาหารอยู่ทุกวัน แต่ถ้าคุณแค่รู้จักอาหารในฐานะ Food อย่าง หมูหัน เป็ดปักกิ่ง ข้าวมันไก่ เท่านั้น ก็นับว่าความรู้เรื่องอาหารของคุณยังน้อยมากนะ
ข้าว ปลา หมูเห็ดเป็ดไก่ คืออาหาร (Food) ต่อเมื่อมันยังไม่ถูกส่งเข้าปากเรา แต่พอคุณกินเข้าไปแล้ว อาหารเหล่านี้จะถูกกระบวนการย่อย เปลี่ยนสภาพของอาหารตั้งแต่อยู่ในปากและเคลื่อนจากปากสู่กระเพาะ จากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ที่ลำไส้เล็กนี่เองที่อาหารจะเปลี่ยนสภาพจากอาหาร (Food) เป็น Nutrient อย่างสมบูรณ์
แล้วก็อาหารในฐานะ Nutrient หรือ “สารอาหาร” นี่แหละ ที่มีหน้าที่บำรุงเลี้ยงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และเป็นยารักษาโรคด้วย
ประโยชน์ของอาหารตรงนี้เองที่ตรงตามที่ ฮิปโปเครติส บิดาของวงการแพทย์กล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วว่า
“เจ้ากินอะไรเข้าไป เจ้าก็เป็นอย่างนั้น” You are what you eat
ถ้าเรากินสิ่งที่ดีมีประโยชน์เข้าไป ร่างกายของเราก็ดีตาม
ถ้ากินของเน่า (แต่อร่อย) ร่างกายก็เน่า (เจ็บป่วย) ตามไปด้วย
เพราะอาหารที่ไม่ดี (ซึ่งชีวจิตแนะนำให้งด) เมื่อเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากๆเกินพอดี ก็จะกลายสภาพเป็น ท็อกซิน - Toxin ในที่สุดทีนี้เมื่อท็อกซินหรือสารพิษสะสมในร่างกายนานๆเข้า ก็จะขัดขวางการทำงานของ ภูมิชีวิต และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั่นเอง
เหมือนอย่างที่คนสมัยนี้ใช้ “ลิ้น” เป็นเครื่องตัดสินคุณค่าของอาหาร คำนึงถึงแต่ความอร่อยมากเกินไป ลืมนึกถึงคุณประโยชน์หรือ
โทษจากอาหาร จะพบว่าเราต้องเจ็บป่วยกันด้วยโรคที่เกิดจากการกินอาหารผิดสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกที เห็นชัดๆก็อย่างเช่น
• กินแป้ง น้ำตาล มากเกินไป เป็นเบาหวาน
• กินเค็มเกินไป เป็นโรคไต
• กินไขมันมากเกินไป เป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือด
อาหารชีวจิตเป็นแนวทางการรับประทานอาหารที่ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ศึกษาและปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ ให้
เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิตของคนไทยและเมืองไทยและให้ง่ายต่อการจัดหา ปรุง และรับประทาน
กล่าวโดยรวมๆ อาหารชีวจิต คือ อาหารชั้นเดียว หมายถึง เป็นอาหารที่คงสภาพตามธรรมชาติเดิมไว้มากที่สุด ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งมากมาย และคงรสชาติเดิมๆของอาหารไว้มากที่สุด เช่นว่า ข้าว ก็เพียงแค่กระเทาะเปลือกออกกลายเป็นข้าวกล้อง ไม่ต้องขัดสีจนขาวจั๊วะ
ทั้งนี้ อาหารชีวจิตไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อหรือบาปบุญคุณโทษ แต่เป็นการนำความรู้ทางโภชนาการขั้นสูงมาพิจารณาอาหารต่างๆ
แล้วเลือกสรรเฉพาะอาหารที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายและจิตใจมากที่สุด ที่สำคัญเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดสารพิษ "ท็อกซิน - Toxin" ตกค้าง
น้อยที่สุด
อาหารที่ชีวจิตแนะนำให้ "งด"
• เนื้อสัตว์ย่อยยาก ได้แก่ เนื้อ หมู ไก่
• แป้งขัดขาวและผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาวทุกชนิด
• น้ำตาลฟอกขาวและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด
• ไขมันเลว คือไขมันอิ่มตัว ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และกะทิ
• และแนะนำให้รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้สมดุลตาม สูตรสัดส่วนอาหารชีวจิต
อย่างไรก็ตาม อาหารชีวจิตนั้นนอกจากคำนึงถึงคุณประโยชน์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับความอร่อย และต้องน่ากินด้วย คือ ถึงแม้รสชาติจะไม่จัดจ้านเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด แต่เราเน้น
ความกลมกล่อมแบบพอดีๆ ถ้าคุณยังนึกภาพเมนูอาหารชีวจิตไม่ได้ ลองดูที่ ครัวชีวจิต หรือตำราอาหารชีวจิต
ในหมู่ชาวชีวจิตเราพูดกันเสมอว่า การทำอาหารให้อร่อยนั้น ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแต่ต้อง ใช้ฝีมือ ใช้ความรัก และความสนใจของแต่ละคน เรียกว่า "ทำและกินด้วยความรักและนับถือ" ความรักนั้นคือ ความรักอาหาร และรักในการทำอาหาร มีความสนุกและเพลิดเพลินในการ ทำและกิน ส่วนความนับถือนั้น เราต้องนับถือว่า อาหารนี้แหละคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เรา และจะกลายเป็น เลือดเป็นเนื้อของเราเอง

10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน





ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด
1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง
2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ
3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน
4. อะโวกาโด – ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด
5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตรอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต
7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส
8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด
9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย
10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร

สูตรน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

น้ำผลไม้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดรองจากผลไม้จริง ๆ แต่บางทีก็ไม่ได้อุดมไปด้วยวิตามินอย่างที่คุณคิด เพราะคุณค่าทางอาหารของน้ำผลไม้ต่างกันไป ตามชนิดและยี่ห้อ
จริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่ในน้ำผลไม้ที่คุณดื่ม
น้ำผลไม้นั้นมีคุณค่าทางอาหารน้อยกว่าผลไม้จริง ๆ อยู่แล้ว เมื่อนำผลไม้มาคั้น เส้นใย (ซึ่งเป็นแหล่งกากอาหารสูงสุด) และในกรณีผลไม้รสเปรี้ยว เมมเบรนของผลไม้ (ซึ่งเป็นแหล่งสารต้านมะเร็ง) จะสลายไปกับการคั้น วิตามินซี ซึ่งคุณคิดว่าเป็นสิ่งที่คุณด้รับมากที่สุด จากการดื่มน้ำผลไม้ก็ลดลงระหว่างกระบวนการการทำน้ำผลไม้ ยิ่งถ้าผลไม้นั้นมีวิตามินซีน้อยอยู่แล้ว เช่น แอปเปิ้ล เมื่อกระบวนการการทำน้ำผลไม้เสร็จลง วิตามินซีก็แทบไม่เหลืออยู่เลย
ถ้าผลไม้นั้นมีวิตามินซีมากอยู่แล้ว เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้ที่ได้ก็จะมีคุณค่าทางอาหารมาก อย่างไรก็ตาม บางครั้งคุณค่าทางอาหาร เช่น วิตามินซี ก็ถูกเติมลงไปในน้ำผลไม้ชนิดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่า คุณควรตรวจฉลากแสดงคุณค่าทางอาหาร เพราะน้ำแอปเปิ้ลหรือองุ่นยี่ห้อหนึ่งอาจมีวิตามินถึง 100% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ในขณะที่ยี่ห้ออื่นอาจมีน้อยกว่าหรือไม่มีเลย
ขนาดภาชนะบรรจุน้ำผลไม้มีผลต่อปริมาณวิตามินซี น้ำส้ม Tropicana Pure Premium Original 8 ออนซ์ ที่บรรจุในกล่องขนาดครึ่งแกลลอนมีปริมาณวิตามินซี 120% ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ในขณะที่น้ำส้มแบบเดียวกันแต่มาจากกล่องขนาด 1 ควอร์ท มีปริมาณวิตามินซีเพียงครึ่งเดียว คือ 60% เท่านั้น และในกล่องขนาดเล็ก 6 ออนซ์ก็มีวิตามินซีเพียง 15% คุณคงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร คำตอบก็คือ ปริมาณวิตามินซีลดลงเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน และน้ำผลไม้ที่บรรจุในกล่องขนาดเล็ก จะสัมผัสกับออกซิเจนมากกว่าทั้งระหว่างและหลังจากการบรรจุ
น้ำผลไม้ที่โฆษณาว่ามีส่วนผสมของน้ำผลไม้ถึง 100% อาจไม่มีคุณค่าทางอาหารมากขนาดนั้นก็ได้ น้ำผลไม้ที่โฆษณาเช่นนี้มักเป็นส่วนผสมสารสกัดน้ำผลไม้พวกองุ่นขาว แอปเปิ้ล หรือแพร์ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารและรสชาติต่ำ และไม่ต่างอะไรจากสารให้ความหวานธรรมดา
แม้กระทั่งน้ำผลไม้ผสมที่ดูแปลกอย่างน้ำส้ม/สตรอเบอร์รี่/กล้วย และส้มกับมะม่วง หรือกระทั่งแอปเปิ้ลกับราสเบร์รี่ ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไรด้านคุณค่าทางอาหาร
คุณไม่ได้รับผลไม้มากนักจาก "ค็อกเทลน้ำผลไม้" หรือ "เครื่องดื่มน้ำผลไม้" เพราะน้ำผลไม้เหล่านี้มักมีแต่น้ำและน้ำตาลฟรุกโตสเป็นส่วนผสมหลัก แต่ในกรณีของค็อกเทลแครนเบอร์รี่อาจมีคุณค่ามากเนื่องจากมีการเพิ่มวิตามินซีลงไป
เมื่อเปิดแล้ว น้ำผลไม้จะเสียคุณค่าทางอาหาร เพราะฉะนั้นอย่าเก็บไว้ในตู้เย็นนานเกินไป น้ำผลไม้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น น้ำส้ม เกรปฟรุต และผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรดจะคงคุณค่าทางอาหารและรสชาติได้นาน 7-10 วัน น้ำผลไม้ที่รสเปรี้ยวน้อยกว่าเช่น แอปเปิ้ลและองุ่นจะคงคุณค่าทางอาหารและรสชาติได้นาน 1 สัปดาห์ หากคุณซื้อน้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ จึงควรดื่มให้หมดภายใน 1 สัปดาห์
น้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออาจไม่ปลอดภัย เนื่องจากการแพร่ของเชื้อแบคทีเรีย E Coli ที่พบในน้ำแอปเปิ้ลและสละที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ รวมทั้งพิษ Salmonella ในน้ำส้มที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ องค์การอาหารและยาจึงแนะให้ติดป้ายเตือนไว้ที่กล่องน้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ อัตราการเสี่ยงในผู้ใหญ่อาจต่ำ แต่ในเด็กและผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้ภูมิต้านทานต่ำ (เช่น หญิงมีครรภ์) นั้นไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ เนื่องจากไม่มีการใช้ความร้อนเพื่อฆ่าแบคทีเรีย น้ำผลไม้เกือบทั้งหมดที่ขายในท้องตลาด ยกเว้นชนิดที่คั้นสด ๆ ล้วนแต่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว แต่น้ำผลไม้จากผู้ค้ารายเล็ก ๆ อาจไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ หากคุณสงสัยจึงควรถามให้แน่ใจ
เมื่อคุณคั้นน้ำผลไม้ที่บ้าน ล้างผลไม้ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นเพื่อล้างแบคทีเรีย และล้างที่คั้นด้วยสบู่และน้ำร้อนทุกครั้งที่ใช้
ถ้าคุณต้องการน้ำผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ควรเลือกแต่น้ำผลไม้แบบไม่ผสม เช่น น้ำส้มหรือเกรปฟรุตล้วน ๆ หรือลองน้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีการผสมวิตามินเอ ซี และอี หรือแม้กระทั่งแคลเซียม
เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ทำด้วยผลไม้ดีกับสุขภาพจริงหรือ
อย่าพึ่งน้ำผลไม้จนเกินไป เมื่อคุณอ่านฉลากคุณค่าทางอาหารและเลือกอย่างระมัดระวัง น้ำผลไม้อาจมีประโยชน์มาก แต่การรับประทานผลไม้สักชิ้นสองชิ้นอาจมีประโยชน์ยิ่งกว่าน้ำผลไม้ เพราะต่อให้น้ำผลไม้ชนิดเยี่ยมที่สุดก็ยังต้องถอยเมื่อเจอคุณค่าของผลไม้จริง ๆ



น้ำแตงโม
ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อน)
น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อน)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5ช้อนชา)
น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม (10 ช้อน)
วิธีทำ
นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยา ช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ



ส่วนผสม

ดอกกระเจี๊ยบสด/แห้ง 20 กรัม (5 ดอก)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อน)
น้ำเปล่า 200 กรัม (14 ช้อน)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อน)

วิธีทำ
1 เอาดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้งก็ได้ ล้างน้ำทำความสะอาดนำใส่หม้อ ต้มจนเดือด แล้วลดไฟลงอ่อน ๆ เคี่ยวเรื่อย ๆ จนน้ำเป็นสีแดง จนเข้มข้น
2. เอาดอกกระเจี๊ยบขึ้นจากหม้อต้ม แล้วเอาน้ำเชื่อมและเกลือใส่ลงไป ปล่อยให้น้ำกระเจี๊ยบเดือด 1 นาที ก็ยกลง ชิมรสตามใจชอบ
3. เอาขวดมาล้างทำความสะอาด ต้มในน้ำเดือด 20 นาที นำ น้ำกระเจี๊ยบแดงมากรอก แล้วปิดจุกให้แน่น เก็บไว้ได้นาน (ควร แช่ในตู้เย็น)
หรืออีกวิธีหนึ่ง นำดอกกระเจี๊ยบมาตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง นำผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิกรัม )

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหารให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตารอง ลงมามีแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต เป็นยาระบาย อ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำ
-




น้ำฝรั่ง
ฝรั่งแก่จัด (หันชินเล็ก ๆ) 30 กรัม (2 ช้อน)
น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อน)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อน)
เกลือป่นเล็กน้อย 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)

วิธีทำ
เลือกฝรั่งที่แก่จัด ล้างน้ำสะอาด ฝานเฉพาะเนื้อชิ้นเล็ก ๆ นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจนละเอียด แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีสารเบต้า-คาโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว

คุณค่าทางยา ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วย เส้นเลือดอุดตัน

เทคนิค 7 ข้อ ที่เป็นคาถาประจำตัวของคุณ




เทคนิค 7 ข้อ ที่เป็นคาถาประจำตัวของคุณ

1. เลิกกินไขมัน - ไขมัน 1 กรัมให้แคลอรี่ตั้ง 9 แคลอรี่ ถ้า 1 วันคุณกินไขมัน 100 กรัม คุณก็ได้ 900 แคลอรี่แล้ว และถ้าวันหนึ่งคุณใช้พลังงานไปแค่ 500 แคลอรี่ นั่นก็มายถึงว่ามีไขมันเหลือสะสมในร่างกายของคุณอีก 400 แคลอรี่ ซึ่งเมื่อสะสมไปอีก 5-6 วัน ก็จะได้ 3,500 แคลอรี่ ซึ่งหมายถึงน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 2.2 กิโลกรัม ซึ่งแน่แนอนว่า วันหนึ่งคุณไม่ได้ทานอาหาร 900 แคลลอรี่ เท่านั้น เพราะไหนจะคาร์โบไฮเดรตและอาหารประเภทอื่น ๆ อีกนับพันแคลอรี่ ลองคิดดูสิว่าในความเป็นจริง สิ่งที่เหลือเป็นส่วนเกินในแต่ละวันจะมีสูงเพียงใด ต่อไปนี้ขอให้คุณ เลิกเด็ดขาด กับอาหารประเภททอด ผัด นมเนย ต่าง ๆ ตลอดจนตับ ไต เครื่องในสัตว์ และอาหารผสมกะทิทุกชนิด

2. เลิกกินขนม - ถ้าของโปรดของคุณคือ ไอศกรีม ช็อกโกแลต ปอปคอร์น ขนมหวานประเภท กล้วยบวชชี ลอดช่องน้ำกระทิ คัสตาร์ด หรือขนมหวานทั้งปวง ขอให้ทำใจเลิกเหลียวมองตั้งแต่วันนี้

3. เลิกกินจุบกินจิบ - หมายถึงอาหารระหว่างมื้อ ของว่าง ขนม หรือที่เรียกว่าของทานเล่นนั่นแหละ ขอให้เลิกโดยสิ้นเชิง ถ้าว่างนักก็หาอะไรทำที่สร้างสรรค์กว่าการกินของจุบจิบจะดีกว่าเยอะเลย ให้กินเฉพาะมื้ออาหารเท่านั้น ดังนั้นคุณควรลองปฏิเสธงานเลี้ยงทั้งปวงที่ต้องไปกินแน่นอน อย่างเช่น งานแต่ง งานบวช งานเลี้ยงฉลอง งานวันเกิน เป็นต้น

4. กินแต่ผลไม้ - ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้กินแต่ผลไม้ กินเข้าไปเถอะ ไม้อ้วนแน่นอน

5. กินผักเยอะ ๆ ในทุกมื้อ - ควรมีผักสด ๆ หรือผักนึ่ง และควรเลือกกินแต่ผักให้มากกว่าอาหารจานอื่น ๆ บนโต๊ะ

6. บอกลาแอลกอฮอล์ - คุณต้องเลิกเด็ดขาดสำหรับเครื่องดื่มประเภท เหล้า เบียร์ หรือไวน์ประเภทใดก็ตาม เพราะแอลกอฮอล์นี่แหละตัวดีทีเดียวที่จะเพิ่มน้ำหนักให้คุณ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เบียร์ไทย เพียง 1 ขวดเท่านั้น ให้พลังงานประมาณ 500 แคลอรี่แล้วละ! มากกว่าก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม ตั้งหลายสิบแคลอรี่ ถ้าคุณดื่มเบียร์เข้าไปสัก 2 ขวด คุณก็ได้พลังงาน 1,000 แคลอรี่แล้ว บวกกับพลังงานจากอาการในวันนั้นที่กินไปแล้วอีก 2,000 แคลอรี่ ก็ปาเข้าไป 3,000 แคลอรี่แล้ว

7. ออกกำลังกาย - คือวิธีที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับคนที่จะลดน้ำหนักตัวการออกกำลังกายจะทำให้ไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามต้นแขนหน้าท้อง โคนขา ของคุณมลายหายไป และยังจะทำให้กล้ามเนื้อเต่งตึงได้สัดส่วนสมดุลทั้งเรือนร่าง และยังจะทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และนั่นหมายถึงสมองที่จะมีประสิทธิภาพ แต่ประโยชน์ของการออกกำลังกายยังมีอีก 108 ประการซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลดีต่อร่างกายของคุณทั้งนั้น

ข้อความ...ชวนอมยิ้ม




ข้อความ...ชวนอมยิ้ม
1. รู้มั้ยว่ามีคนคิดถึง รึว่าควันธูปยังเลยไปไม่ถึง เลยไม่รู้ตัว
2. รักกด 1 ... คิดถึงกด 2 ... ไม่กดเลย ถูกทั้งสองข้อ
3. ฝันถึงเธอทั้งคืน ต้องตกใจตื่น เฮ้อ ... ฝันร้ายจัง
4. รู้ว่าไม่ว่าง ก้อฝนตกขนาดนี้ รู้นะคนดี ต้องไปไถนาอีกแล้วล่ะสิ แย่จัง
5. อย่าเพิ่งรีบไปผุดไปเกิดที่ไหน เด๋วปอเต็กตึ๊งจะไปรับ
6. ฉันรักกับเธอไม่ได้จิงๆ เพราะไม่เคยคิดรักกับลิงมาก่อน
7. เจ็บมากมั้ย ... คนดี ขอโทษที ความสวยของพี่ไม่เคยปราณีใคร
8. เพียงแค่เธอส่งสายตามองมา ฉันก้อขนลุกซู่ซ่า ... เพราะว่าปวดอึ
9. คนอะไรน่ารักเป็นบ้า สงสัยเพิ่งหลุดออกมาจากศรีธัญญาแน่ๆ
10. อย่าแกล้งทําเป็นขี้เหร่นักสิ ตั้งแต่เกิดมา ... เธอแกล้งอย่างนี้มาตลอดเลยนะ
11. อยากรักเธอให้มากๆ อยากจะมาอยู่ใกล้ อยากจะบอกว่าห่วงใย แต่ทําไม่ได้ เพราะฉันตอแหลไม่เป็น
12. message นี้ส่งมาด้วยคลื่นตรวจจับความขี้เหร่ ถ้าปรากฏบนมือถือใคร ก้อแสดงว่า ...
13. คุณจะได้ลาภเป็นสัตว์สองเท้า แต่จะมาทีละเท้า เตรียมตัวให้ดี!!
14. รู้ตัวรึป่าวว่าเธอเป็นคนสวย แต่อยากให้รู้ไว้ด้วยนะว่าฉันชอบโกหก
15. พูดถึงเรื่องเรียนทําเป็นบ่นกระปอดกระแปด พูดถึงเรื่องแรดๆ ... แหม ... คุยกันแซดไม่มียั้ง
16. ไม่เป็นไรหรอกหากเธอไม่สน ฉันก้อจีบเธอแก้บนเท่านั้น
17. เธอจะสวยกว่านี้ ถ้าไปศัลยกรรม หู ตา จมูก ปาก ที่มีซะใหม่
18. มีใจไว้ให้เธอ มีเธอไว้ในใจ แต่ช่วยขยับที่หน่อยได้มั้ย เพราะฉันยังต้องมีใครอีกหลายคน
19. sexy เหลือเกิน จนอยากเชิญไปถ่ายแบบโฆษณาเพดดีกรี
20. สิ่งหนึ่งที่อยากให้เธอรับรู้ หุ่นของเธอคล้ายหมูเข้าไปทุกวัน
21. เดินทั้งวันเมื่อยจัง ขอหน้าสวยๆของเธอ พักวางเท้าหน่อยดิ
22. ไม่ค่อยกล้าส่ง message มากวนใจ เพราะเห็นป้ายเขียนไว้ว่าอย่ารบกวนสัตว์
23. รักเธอมากมาย เกินกว่าใจจะบอก รักเธอจนอึไม่ออก ไม่รู้จะบอกใคร
24. ทําไมออกมาเดินเพ่นพ่าน ระวังเทศบาลมาจับตัวไป
25. ลุยมาเจ็ดป่าช้าไม่เคยกลัว เจอกับเธอตัวต่อตัว กลัวแทบตาย
26. อย่าไปเชื่อใครๆว่าเธอเหมือนหมู เพราะฉันดูแล้วเธอเหมือนฮิปโปมากกว่า
27. หมอจะผ่าตัดคนไข้ แต่ยาสลบหมด เลยอยากมาขอลมปากเธอไปเป่าให้

ความเชื่อโบราณ อะไรดี ไม่ดี กับหญิงสาว




ความเชื่อโบราณ อะไรดี ไม่ดี กับหญิงสาว
เป็นความเชื่อที่บอกต่อกันมานาน หรือถามคนรู้ก่อนกันก็ได้ จะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นความรู้เพิ่มเติม
1. ของใหม่ควร หรือ ไม่ควรใส่วันไหน
Don't อังคาร : เพราะจะทะเลาะกะแฟน
Don't เสาร์ : จะมีเรื่อเสียใจ หรือ เสี่ยความรู้สีก
Do จันทร์ : จะเพิ่มเสน่ห์
Do ศุกร์ : ใครเห็นก็เอ็นดู อยากเข้ามาคุยด้วย
2. เครื่องประดับที่ไม่ควรห้อยดิดตัวคือ
กรงนก : เก๋ แต่เหมือนเรากักขังตัวเอง ขาดอิสระ
จระเข้ : เป็นความหมายของการหักหลัง มีศัตรู ความเจ้าเล่ห์
3.ใส่เครื่องประดับ หรือเสื้อผ้าลายหัวกะโหลกวันเสาร์ จะทำให้มีพลังลึกลับ
4.ชาวตะวันตกเชื่อว่าใส่ตุ้มหูรูปเกือกม้า จะขับไล่ความโชคร้ายที่ลอบเข้ามาหาเราออกไป
5.ออกเดทวันเสาร์ ใส่เสื้อผ้าสีดำ จะทำให้คุณมีเสน่ห์
6.ออกเดทวันศุกร์ควรใส่เสือผ้าสีโทนฟ้าพาสเทล น้ำเงินสว่าง จะดูเท่ มีสไตล์ คนที่ไปเดทกับคุณจะอยากคบคุณแบบจริงจัง มากกว่าแค่เดทแก้เหงา แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีดำออกเดทวันศุกร์ เขาอาจไม่คิดจริงจังกับคุณ
7.ห้ามให้น้ำหอมคนรัก อาจเลิกกัน ถ้าให้ก็ต้องของเงินเขาห้าบาท สิบบาทก็ได้
8.ห้ามใช้น้ำหอมของเพื่อน อาจทะเลาะกัน เหมือนที่คำโบราณที่ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ กลิ่นน้ำหอมก็เหมือนกลิ่นสาปเสือ
9.ห้ามให้รองเท้าคนรัก เพราะเขาอาจเดินจากคุณไป
10.ชาวยิปซีเชื่อว่า ถ้าช่วงไหนคุณรู้สึกดวงไม่ดี ให้เอาเกลือไปโรยไว้หน้าบ้าน ถ้าวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะทำงานมุมซ้าย โทรศัพท์จะดังมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่ถ้าย้ายมาวางไว้มุมขวาจะทำให้คุณได้ยินแต่ข่าวดี ที่ทำให้คุณยิ้มออก
11.วันตัดผมยอดฮิต คือ วันศุกร์ จะเสน่ห์ ตัดผมวันอาทิตย์จะอายุยืน ตัดผมวันจันทร์จะมีแต่คนรัก และไม่ควรตัดผมวันอังคาร เพราะจะมีแต่เรื่องเสียน้ำตา
12. อย่าใช้ของมีตำหนิ หรือของที่คนรักให้แล้วมีตำหนิ เช่น ตุ้มหูข้างเดียว ให้เก็บไปเลยไม่ต้องใช้ เพราะจะทำให้ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น หรือได้คู่ที่ผ่านคนอื่นมา ความรักของคุณจะอยู่ในภาวะไม่ชัดเจน
13. กระเป๋าตังค์ขาด ให้ทิ้งซะ เหมือนกับทำให้เงินรั่วไหล เก็บเงินไม่อยู่
14. คนจีนเชื่อว่า ใส่แหวนนิ้วก้อย จะไม่ต้องทำงานหนักใส่กำไรหยก จะมีอำนาจ สุขภาพดี
15. บนโต๊ะทำงานมุมขวาให้เอาดินสอเหลาใส่แก้ววางไว้ หัวสมองจะปลอดโปร่ง ปัญญาเฉียบแหลม
16.เขียนชื่อเราและคนรักด้วยเข็มบนลิปสติกแท่งใหม่ แล้วใช้ทาปากทุกวันอย่าให้ใครใช้ เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดถึงคุณ แต่คุณก็ต้องคิดถึงเขาจริงๆ นะ ไม่ใช่อยากเอาชนะ
17.คนไทยโบราณเชื่อว่า เวลาเข้าบ้านใหม่ต้องยกข้าวสารเข้าบ้าน แล้วบ้านนี้จะไม่อดอยากสมบูรณ์พูนสุขตลอดเวลา และอย่าลืมเอาสร้อย แหวน เงิน ทอง ใบเงิน ใบทอง ใส่ไว้ในถังข้าวสารด้วย จะได้มีเงินทองไหลมาเทมา


ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/5020.html

ฉีด "กลูตาไธโอน" ขาว ..แต่อันตรายถึงชีวิต




สารกลูตาไธโอน เป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสังเคราะห์ได้เอง ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยตับขจัดสารพิษ โดยเฉพาะตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เช่น โลหะหนัก สารฆ่าแมลง เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอนจะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกาย ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด ต่อมาวงการแพทย์ได้นำสารกลูตาไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคตับ โรคไต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก มานานกว่า 30 ปี โดยฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

เนื่องจากร่างกายเราสร้างกลูตาไธโอนได้เอง เมื่อต้องเสริมกลูตาไธโอนในปริมาณมากเพื่อมุ่งรักษาโรค จึงมีผลข้างเคียงโดยกลูตาไธโอนมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ทำให้ผิวขาวขึ้นในเวลาอันสั้น จึงเกิดการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

กิน-ฉีดให้ขาว อันตรายถึงชีวิต

ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึม และจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูตาไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจาก กลูตาไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูตาไธโอนสูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน และอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลัน หรือส่งผลในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูกทำลาย


เสริมกลูตาไธโอนด้วยการกิน

แม้การบริโภคกลูตาไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อน อาจทำให้ปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายผลิตได้ลดลง ทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูตาไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด